ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ ในการทำเกษตรธรรมชาติ เนื่องจากเราไม่ใช้ปุ๋ยเคมี แต่จะหันมาปรับปรุงดินโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพแทน ปุ๋ยอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยน้ำชีวภาพ และปุ๋ยพืชสด (สำหรับปุ๋ยคอกไม่ได้กล่าวถึง เนื่องจากนำปุ๋ยคอกหรือมูลสัตว์มาใช้เป็นวัสดุในการทำปุ๋ยหมัก) ปุ๋ยชีวภาพ ได้แก่ ไรโซเบียม ไมโคไรซ่า ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพเหล่านี้ จะให้ทั้งธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองแก่พืชอย่างครบถ้วน และในปริมาณที่มากพอ จึงใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูกพืชได้ และการใช้ปุ๋ยชีวภาพร่วมด้วยก็จะช่วยทำให้ไม่ต้องใช้ปุ๋ยหมักมาก จึงเป็นไปได้ที่จะทำเกษตรธรรมชาติในพื้นที่แปลงใหญ่ มิใช่ทำแปลงเล็ก หรือสวนครัวหลังบ้านเท่านั้น ลักษณะ | ปุ๋ยเคมี | ปุ๋ยอินทรีย์/ชีวภาพ (จุลินทรีย์) | 1. การดูดซับธาตุอาหาร | ไม่มี | ดูดซับได้ดี | 2. การอุ้มน้ำ | ไม่มี | ทำให้ดินอุ้มน้ำได้ดีขึ้น | 3. ความร่วนซุยของดิน | ทำให้ดินอัดตัวเป็นก้อนแข็งในระยะยาว | ดินร่วนซุยดี | 4. ระดับความเป็นกรด | เพิ่มขึ้น | ช่วยรักษาสมดุลของความเป็นกรดด่าง | 5. ระยะเวลาที่มีผลในดิน | ระยะสั้นแต่จะหายไปเร็วจากการชะล้างหรือเปลี่ยนรูป | คงอยู่ในดินนาน | 6. ความเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ | เติบโตดีแต่เพียงระยะสั้น ในระยะยาวไม่ดี | เติบโตดีและนาน | 7. การขยายพันธุ์ของแมลงศัตรูพืช | ขยายพันธุ์รวดเร็ว | ไม่มีผล | 8. การป้องกันโรคพืช | ไม่ช่วยป้องกัน | ช่วยป้องกัน | ปุ๋ยอินทรีย์ สำหรับปุ๋ยอินทรีย์ในที่นี้จะขอกล่าวถึงวิธีการทำปุ๋ยหมักและปุ่ยน้ำอย่างสั้น ๆ สำหรับปุ๋ยพืชสดนั้นก็เป็นการนำพืชตระกูลถั่วมาปลูก และเมื่อถึงระยะออกดอก ซึ่งเป็นระยะที่พืชเจริญเติบโตเต็มที่ ก็จะไถกลบ และปล่อยให้ย่อยสลายเน่าเปื่อยผุพังไปก่อนแล้วปลูกพืชต่อไป การใช้ปุ๋ยพืชสดปรับปรุงดินนี้ จะเป็นการเพิ่มทั้งอินทรีย์วัตถุ และธาตุอาหารพืชโดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน พืชตระกูลถั่วได้แก่ ถั่วพร้า โสน ปอเทือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วลิสง ฯลฯ พืชตระกูลถั่วบางชนิดอาจปลูกแล้วรอเก็บผลผลิตก่อนก็ได้ เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง เป็นต้น ในแต่ละปีควรปลูกพืชตระกูลถั่วปีละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย จะปลูกเป็นปุ่ยพืชสดหรือปลูกเพื่อเก็บผลผลิตก็ได้ ปุ๋ยหมัก เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ให้ทั้งธาตุอาหารพืช จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช และช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ปุ๋ยหมักใช้เป็นปุ๋ยรองพื้น ซึ่งจะใส่ในขณะเตรียมดินก่อนปลูกพืช โดยเฉพาะพืชผักและไม้ดอกอายุสั้นต่าง ๆ แต่ถ้าเป็นไม้ผลจะใส่ตอนเตรียมหลุมปลูก และใส่ระหว่างปี ๆ ละ 1-2 ครั้ง การทำปุ๋ยหมักสามารถทำได้โดยใช้เศษพืช 2 ส่วน มูลสัตว์ 1 ส่วน ถ้าเศษพืชชิ้นใหญ่หรือเป็นเส้นยาว เช่น ฟาง ต้นข้าวโพด ผักตบชวา ต้นถั่ว เศษเหลือทิ้งหลังจากการเก็บเกี่ยว เช่น ต้นมะเขือ เถาฟักทอง เป็นต้น ก็จะวางซ้อน ๆ กันเป็นชั้น ๆ รดน้ำ พร้อมกับขึ้นไปย่ำให้แน่นพอสมควร แต่ละชั้นของเศษพืชอาจหนาประมาณ 20-30 เซนติเมตร สลับด้วยชั้นของมูลสัตว์ หนาประมาณ 5-10 เซนติเมตร หรือถ้าเป็นเศษพืชชิ้นเล็ก ๆ เช่น ขุยมะพร้าว แกลบ กากอ้อย ก็สามารถผสมคลุกเคล้ากับมูลสัตว์ให้เข้ากันพร้อมกับพรมน้ำให้ความชื้น ซึ่งทดสอบความชื้นในกองปุ๋ยได้โดยใช้มือกำเศษวัสดุแน่น ๆ แล้วมีน้ำไหลออกมาตามร่องนิ้วมือเล็กน้อยก็ใช้ได้ เมื่อกองปุ๋ยเสร็จ ควรหาวัสดุ เช่น ทางมะพร้าว ฟาง กระสอบเก่า ๆ เป็นต้น มาคลุมกองปุ๋ย การดูแลกองปุ๋ยก็โดยกลับกองปุ๋ยทุก 3-4 สัปดาห์ เป็นเวลาประมาณ 3 เดือน ก็สามารถใช้ได้ เมื่อได้ปุ๋ยหมักที่สุกแล้ว หรือปุ๋ยหมักย่อยสลายตัวดี สามารถนำไปใช้เพาะปลูกพืชได้ ปุ๋ยหมักที่สุกแล้วมีลักษณะคือ วัสดุที่นำมาใช้ทำปุ๋ยจะเปื่อยยุ่ย มีสีน้ำตาลคล้ำหรือดำ มีกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นดิน ไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนมูลสัตว์อย่างครั้งเมื่อเริ่มทำกอง การทำปุ๋ยหมักนี้ ถ้าสารเร่ง เช่น เชื้อ พ.ต.-1 ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์สำหรับทำปุ๋ยหมักที่ทางกรมพัฒนาที่ดินผลิตขึ้น และแจกให้แก่เกษตรกรใช้ทำปุ๋ยหมัก ก็สามารถนำมาผสมกับกองปุ๋ยได้ด้วย แต่ถ้าไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เพียงทำให้สภาพกองปุ๋ยมีความชื้นเหมาะสม และมีการกลับกองปุ๋ยดังที่กล่าวมาแล้ว ก็สามารถทำปุ๋ยหมักได้เช่นเดียวกัน ปุ๋ยหมักย่อยสลายตัวดีแล้ว หรือปุ๋ยหมักที่สุกแล้ว สามารถนำไปใช้เพาะปลูกพืชได้ สำหรับสัดส่วนของเศษพืชและมูลสัตว์ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตามที่กล่าวมาแล้วก็ได้ อาจปรับใช้ตามที่เกษตรกรสามารถหาได้ เช่น ถ้ามีมูลสัตว์มากและมีเศษพืชน้อย ก็ทำได้เช่นกัน กล่าวคือ มีเศษอินทรีย์วัตถุเหลือทิ้งจากไร่นาชนิดใดก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ ที่สำคัญคือ ต้องหมักให้ย่อยสลายตัวดี ก่อนนำไปใช้เพาะปลูกพืช ในการใช้ปุ๋ยหมักเพาะปลูกพืช เทคนิคที่สำคัญก็คือผสมคลุกเคล้าปุ๋ยกับดินให้เข้ากันเป็นอย่างดีก่อนแล้วจึงปลูกพืช ปุ๋ยน้ำชีวภาพ เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ได้จากการหมักซากพืชซากสัตว์ในน้ำ โดยมีจุลินทรีย์ช่วยย่อยสลาย มีลักษณะเป็นน้ำ ใช้เป็นปุ๋ยเสริมธาตุอาหารระหว่างการเจริญเติบโตของพืช จะให้ทั้งธาตุอาหารพืชและจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ ต่อไปนี้เป็นสูตรการทำปุ๋ยน้ำที่ใช้กันมาก วัสดุที่ใช้มีดังนี้ 1. รำละเอียด 60 กิโลกรัม 2. มูลไก่ไข่ 40 กิโลกรัม 3. เชื้อ พ.ต.-1 จำนวน 1 ซอง หมายเหตุ ก. เชื้อ พ.ต.-1 เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ทำปุ๋ยหมัก ซึ่งกรมพัฒนาที่ดินผลิตขึ้น ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ ข. เนื่องจากรำมีราคาแพง อาจใช้น้อยลง หรือถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ใช้ก็ได้ วิธีการทำและการใช้ นำวัสดุทั้งหมดมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน โดยพรมน้ำให้มีความชื้นขนาดใช้มือกำแล้วปล่อยมือ ก้อนวัสดุก็ยังคงรูปอยู่ก็ใช้ได้ เมื่อคลุกเคล้าวัสดุดีแล้ว ให้ทำกอง แล้วคลุมด้วยกระสอบ คลุมกองไว้ 7-10 วัน โดยระหว่างนี้ต้องกลับกองทุกวัน ๆ ละ 1 ครั้ง หลังกลับกองต้องคลุมกองไว้เช่นเดิม เมื่อครบกำหนดให้แผ่กองปุ๋ยออกผึ่งให้แห้งในที่ร่ม เมื่อปุ๋ยแห้งแล้วให้เก็บรักษาโดยตักใส่กระสอบที่สามารถระบายอากาศได้ และเก็บไว้ในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก จะเก็บไว้ได้นาน เมื่อจะนำปุ๋ยมาใช้ ให้นำปุ๋ยแห้ง 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร โดยใส่ถังหรือตุ่มวางไว้ตามแปลง ใช้ไม้ไผ่คนทุก ๆ วัน ๆ ละ 3-4 ครั้ง ๆ ละ 1 นาที ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็จะใช้ได้ (ถ้าไม่ใช้ไม้คน อาจใช้วิธีปั๊มอากาศเข้าไปก็ได้เช่นเดียวกับแบบตู้ปลา) แต่ควรผสมน้ำอีก 20-40 เท่า ก่อนนำไปรดต้นพืช วิธีการใช้กับพืชอาจรดที่โคนต้น หรือปล่อยตามร่อง หรือฉีดพ่นทางใบ หรือจะต่อเข้ากับระบบการให้น้ำให้ปุ๋ยก็ได้ การให้ปุ๋ยน้ำจะให้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และความต้องการของพืช ซึ่งสังเกตได้จากลักษณะของใบพืช ถ้าใบพืชมีสีเหลืองซีดแสดงว่าได้รับธาตุอาหารไม่พอ ถ้าใบพืชมีสีเขียวเข้มเกินไป แสดงว่าได้รับธาตุอาหารเกิน แต่ถ้าใบพืชเป็นสีเขียว แต่ไม่เขียวเข้มจนเกินไป ใบแผ่กว้าง เห็นเส้นใบชัดเจน ก้านใบชูรับแสงเต็มที่ แสดงว่าพืชได้รับธาตุอาหารเหมาะสมดีแล้ว พืชที่ได้รับธาตุอาหารมากหรือน้อยเกินไป จะอ่อนแอต่อการเข้าทำลายของโรคและแมลง แต่ถ้าพืชได้รับธาตุอาหารพอเหมาะ จะแข็งแรงสามารถต้านทานโรคและแมลงได้ดีกว่า | |
กดที่นี่เพื่อเพิ่มความคิดเห็น
(หน้าต่างใหม่สำหรับให้ความคิดเห็นจะถูกเปิดขึ้น)